รหัสสินค้า | SKU-00231 |
หมวดหมู่ | พระเนื้อดิน |
ราคา | 0.00 บาท |
สถานะสินค้า | Pre-Order |
อัพเดทล่าสุด | 11 มิ.ย. 2567 |
คงเหลือ | 0 ชิ้น |
พระพุทโธน้อย คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม รุ่นแรก เนื้อผงใบลาน พิมพ์เล็กหน้าตุ๊กตา หลัง ยันต์พุทโธ ปี2494 วัดอาวุธฯ กทม เลี่ยมทอง 90 % พร้อมใช้ เนื้อผงใบลาน เป็นเนื้อที่จัดว่าสร้างน้อยที่สุดและหายากที่สุดเล่นหากันราคาสูงในปัจจุบัน มาพร้อมฟลิมเอ็กซเรย์ รับประกัน ไม่มีหักไม่มีไม่ซ่อม และ บัตรรับรองพระแท้ จากสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย หน้าตาจมูก ติดคมชัด เอกลักษณ์ พิมพ์ชัดเจน รับประกัน แท้ 100%
พระพุทโธน้อย เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่คุณแม่บุญเรือนท่านสร้างขึ้น และอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธฯ เมื่อ พ.ศ.2494 เป็นพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้าองค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัยเหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลังมีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่า “พุทโธ” พระพุทโธน้อย ณ ปัจจุบันนี้ เป็นพระเครื่องที่ได้รับความนิยมสูงมาก เพราะทุกๆคนที่ได้ห้อยพระพุทธโธน้อยต่างก็ได้พบเจอประสบการณ์ต่างๆ โดยมีพุทธคุณที่โดดเด่นครบทุกด้าน ตามแต่จะอธิฐาน ปรารถนา อาทิเช่น
ด้านสุขภาพร่างกาย พระคุณแม่เด่นด้าน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ด้านเมตตามหานิยม
ด้านแคล้วคลาดปลอดภัย
ด้านทำมาค้าขาย
ด้านโชคลาภ
ประวัติแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม ฆราวาสผู้เปี่ยมด้วยธรรม
คุณแม่บุญเรือน กลิ่นผกา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 4 ปีมะเมียขึ้น 15 ค่่าเวลา 11.20 น. หรือตรงกับวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2437 ท่านได้ก่าเนิดในครอบครัว ที่มีฐานะ ค่อนข้างยากจน มีนายยิ้ม กลิ่นผกา เป็นบิดา และมี นางสวน กลิ่นผกา เป็นมารดา สถานที่เกิดอยู่ที่คลองสามวา อ่าเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร ต่อมาบิดามารดาของท่านได้ ย้ายไปอยู่ที่ต่าบลบางปะกอก อ่าเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี อยู่ในละแวกบ้าน ชาวสวน
ชีวิตในวัยเยาว์ คุณแม่บุญเรือน เป็นผู้ได้รับความรัก ความทะนุถนอมจากบิดามารดา เป็นอันมาก พอเหมาะสมกับ ฐานะของครอบครัว ท่านได้รับการศึกษาให้รู้ภาษาไทย พออ่าน ออกเขียนได้ และเชื่อว่าท่านได้รับการฝึกสอน จากบิดามารดา ให้มีความรอบรู้ และ สามารถท่าหน้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน เป็นอย่างดี คุณแม่บุญเรือน มีความสามารถในการท่ากับข้าวมีรสอร่อยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้่าพริก อาหารจ่าพวกแกง และ ต้ม ท่านก็สามารถท่าได้อย่างดี นอกจากนี้ก็ยังมีความสามารถในการเย็บจักร ตัดเสื้อผ้าได้เมื่ออายุราว ๆ 15 ปี ท่าน ได้รับการฝึกสอนจากในครอบครัว ให้รู้จักการนวด ซึ่งท่านได้ให้ความสนใจอยู่เป็นอันมาก จนในที่สุดท่านได้รับครอบวิชา หมอนวด และ ตำราหมอนวด จากปู่ของท่าน คืออาจารย์กลิ่น ซึ่งในขณะนั้นถือว่าเป็นหมอนวดผู้มีชื่อเสียง จากการได้รับ มอบต่าราหมอนวด ท่าให้ท่านได้ศึกษาวิธีการนวด จากต่าราดังกล่าวจนเกิดความช่านาญ และกลายเป็นแม่หมอผู้มี ชื่อเสียงในการนวดต่อมาในภายหลัง
ขณะเป็นวัยรุ่น ท่านได้รู้จักกับคุณลุงของท่าน คือ หลวงตาพริ้ง ซึ่งเป็นพระภิกษุ อยู่ที่วัดบางปะกอก ด้วย ความคุ้นเคยกับหลวงตาพริ้ง ผู้เป็นลุงนั่นเอง ท่านได้เริ่มน่าอาหารไปถวายอยู่บ่อย ๆ ท่าให้ท่านได้รับการอบรมสั่งสอนให้ รู้จักธรรมะ และ คุณธรรมในการด่าเนินชีวิต ตามแนวค่าสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เริ่มเลื่อมใส ศรัทธา และมีใจรัก ในงานบุญงานกุศลมากขึ้นอันน่าจะถือได้ว่า นี่เป็นปฐมเหตุส่าคัญที่ท่าให้ท่านบ่าเพ็ญกรณียกิจเป็น นักบุญในพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา หลวงตาพริ้ง จึงเป็นพระภิกษุที่คุณแม่บุญเรือนมีความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก และวัดบางปะกอกนี้ก็น่าจะเป็นวัดที่ท่าให้ท่านเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จนน่าไปสู่การบ่าเพ็ญภาวนาในเวลา ต่อมา
ชีวิตสมรสและบุตรธิดา
เมื่อมีอายุพอสมควร ก็ได้ท่าการสมรสกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม ซึ่งขณะนั้นเป็นต่ารวจประจ่าสถานีต่ารวจนคร บาลสัมพันธวงศ์ ได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาที่ดีตลอดมา แต่ก็ไม่มิบุตรธิดาด้วยกัน และเนื่องจากไม่มีบุตรธิดาด้วยกัน ท่า ให้คุณแม่ บุญเรือน โตงบุญเติมได้รับอุปการะเด็กหญิงชายอื่นบ้าง ขณะที่ยังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ ส.ต.ท.จ้อย ด้วยความ เลื่อมใสในพุทธศาสนา ได้ไปฟังพระสวดมนต์ ฟังธรรมที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่บ่อย ๆ ทั้งได้ฝึกหัดท่าวิปัสสนากัมมัฐานที่วัดนี้ ด้วย ต่อมา ส.ต.ท.จ้อย ผู้เป็นสามี ได้ลาอุปสมบท ที่วัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา 1 พรรษา ท่าให้คุณแม่บุญเรือน ได้มีความ ใกล้ชิดและผูกพันในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่อสามีสึกออกมาแล้ว คุณแม่บุญเรือน ก็ได้ลาสามีบวชเป็นชีและอยู่ ปฏิบัติธรรมที่วัด สัมพันธวงศ์ ได้พากเพียรพยายามฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้อยู่ปฏิบัติที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ จนท่าให้ เกิดความเข้าใจ และ ปลอดโปร่งในธรรมะ รักความสงบประกอบการกุศลต่าง ๆ ช่วยปักหมอนส่าหรับธรรมาสน์พระสวด ปาฏิโมกข์ เป็นต้น ชีวิตสมรสระหว่างคุณแม่บุญเรือน และ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม อยู่กินกันมา จนกระทั่งในปี 2479 ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ 42 ปี ส.ต.ท.จ้อย ได้ถึงแก่กรรมลง เนื่องจากได้เข้าไปช่วย ดับเพลิง เมื่อครั้งเพลิงไหม้ใหญ่ตลาดน้อย อำเภอบางรัก ต่อจากนั้นมา คุณแม่บุญเรือนก็ได้ครองความเป็นโสด บ่าเพ็ญ งานบุญ และได้ใช้นามสกุล โตงบุญเติม ของสามีตลอดมา ในระหว่างครองชิวิตร่วมกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม คุณแม่ บุญเรือน ได้ประกอบอาชีพตัดเย็บผ้า เป็นการช่วยสามีอีกแรงหนึ่ง และรับรักษาโรคโดยเป็นหมอนวด ซึ่งการเป็นหมอนวด เพื่อรักษาโรคนั้น ท่านท่าเป็นการกุศลไม่มีสินจ้าง นอกจากนั้นท่านยังมีความสามารถในการท่าคลอด หรือเป็นหมอต่าแย แผนโบราณด้วย ซึ่งท่าให้ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากในขณะนั้น ในระหว่างนี้ท่านก็ใช้เวลาในการบำเพ็ญบุญ ถือศีล สวด มนต์ ฟังธรรม ด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างแท้จริง
ผลสำเร็จของงานบุญ ด้วยความตั้งใจจริง ในการบ่าเพ็ญเพียร หัดวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่าใจให้สงบระงับ ฝึกใจ ให้แข็งแกร่งแก่กล้า มองเห็นธรรมอันวิเศษของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังผลให้เป็นที่ทราบในหมู่ผู้ร่วมวิปัสสนา ด้วยกัน ว่าคุณแม่บุญเรือนได้สำเร็จแล้วอย่างแท้จริง คือสำเร็จใน จตุตถฌาน หรือ ฌาน4 อันประกอบด้วย ปฐมฌาน หมายถึง ฌาน ขั้นแรก มีองค์ 5 คือ ยังมีตรึก เรียกว่า วิตก และ ตรอง เรียกว่า วิจารณ์เหมือนอารมณ์แห่งจิต ของคนสามัญ ซ้ำยังมีปิติ คือ ความอิ่มใจ มีความสุข คือความสบายใจ เกิดแต่ความวิเวก คือ ความเงียบสงบ ประกอบด้วยจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งลงไปได้ เรียกว่า “ เอกัคตา” ทุติยฌาน หมายถึง ฌาน ชั้นสอง ซึ่งละวิตกและวิจารณ์ ในปฐมฌานลงไปได้ คงเหลือแต่ ปิติและ สุขอันเกิดแก่สมาธิกับ เอกัคตา ตติยฌาน เป็น ฌาน ชั้นสาม คงเหลือแต่องค์สอง คือละปิติเสียได้ คงเหลือแต่สุขและเอกัคตา จตุตถฌาน เป็น ฌานส่าคัญชั้น 4 มีองค์ 2 คือละสุขเสียได้กลายเป็น อุเบกขาคือวางเฉย คู่กับเอกัคตา ฌาน 4 จัดเป็นรูป สมาบัติ มีรูปธรรมเป็นอารมณ์ สงเคราะห์เข้าไปในรุปาวจรภูมิ
ฌานทั้ง 4 นี่แหละที่เชื่อกันว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้บำเพ็ญเพียรฝึกปฏิบัติจนประสบความสำเร็จ และด้วยเหตุที่ ปรากฏต่อมาว่า แม่ชีบุญเรือน มีความเชี่ยวชาญในวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนสามารถจะเข้าวิปัสสนาเมื่อใดก็ได้ และไม่ จ่าเป็นต้องยึดสิ่งมีรูปเป็นอารมณ์ ทั้งอาจเข้าวิปัสสนาโดยลืมตาก็ได้โดยเร็วพลันด้วยเหตุนี้ ทางด้านอรูปฌาน ก็เชื่อว่าท่าน สันทัดและบรรลุโดยลักษณะเดียวกัน ด้วยความส่าเร็จใน จตุตถานนั่นเอง เป็นเหตุให้แม่ชีบุญเรือน เป็นนักเสียสละชั้นยอด มีอารมณ์วางเฉย เป็น อุเบกขา สละความโลภ ความอยากได้ในทรัพย์สินต่าง ๆ อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นคนที่รู้จักแม่ชีบุญเรือน มาก่อนก็ดี หรือเพิ่งจะมารู้จักก็ดี จะทราบคติธรรมข้อหนึ่งว่า “ คนที่จะไปหาท่าน จงไปหาด้วยการเป็นผู้รับ ส่วนท่านเป็น ผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้บริการ” ท่านไม่ต้องการสิ่งใดของใคร แม้แต่ดอกไม้ ธูปเทียน ทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ทั้งสิ้น.
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
เมื่อยังมีชีวิตอยู่ท่านมีลูกศิษย์เรียนธรรมะด้วยกันมาก ท่านนายพลดำเนิน เลขะกุล ผู้มีชื่อเสียงก็เป็นผู้หนึ่งที่เคารพนับถือท่าน คุณดำเนินมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุบาสิกาบุญเรือน เชื่อว่าท่านสามารถอ่านใจคนได้ เพราะเคยไปหาครั้งแรกในยามมีทุกข์ใจ ได้รับคำแนะนำทันที่โดยที่อุบาสิกาบุญเรือนไม่ได้ไต่ถามอะไรเลยว่า “คนจะเป็นสุขได้ก็ต่อเมื่อใจสงบ”
ศิษย์ของอุบาสิกาบุญเรือน ยังคงมีการประชุมสวดมนต์ตามแบบที่ได้รับดำแนะนำสั่งสอน ที่ศาลาทุกวันอาทิตย์
ผู้ที่เคารพนับถือมักเรียกท่านว่า “คุณแม่” เป็นส่วนมาก ป้ายสวยงามติดไว้เป็นระยะนำไปสู่ศาลา ก็เขียนว่า ศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
ทุกปีที่ศาลานี้จะมีการทำบุญใหญ่ ค่าใช้จ่ายแต่ละคราวกว่าสองหมื่นบาท
สมัยคุณแม่บุญเรือนยังไม่สละร่างมนุษย์ (ตามดำของศิษย์ไม่ประสงค์จะเรียกการจากไปของท่านว่า ถึงแก่กรรม) มีผู้สร้างศาลาให้คุณแม่บุญเรือนใช้เป็นที่อาศัยและที่อบรมสั่งสอนหลายแห่ง เช่นที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ บางขุนพรหม ที่ภายในบริเวณบ้านของครูเก่า คุณหลวงแจ่มวิชาสอน มหาเศรษฐีเจ้าของยาสีฟันวิเศษนิยมที่พระโขนงและที่บ้านนาซา ปากน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง
คุณแม่บุญเรือน เรียกคณะของท่านว่า สามัคคีวิสุทธิ์
ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งเป็นครูอาจารย์ของใคร ผู้ที่ไปเรียนธรรมะด้วย ท่านขอให้ถือเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณพระรัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนธรรมะของท่าน
คุณหลวงแจ่มฯ กล่าวถึงคุณแม่บุญเรือนว่า “เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสำเร็จในอิทธิฤทธิ์บางอย่าง” ท่านเรียกคุณแม่บุญเรือนว่า “แม่หมอ” และได้บันทึกเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นด้วยตนเองไว้ดังนี้
เมื่อเดือนมีนาคม ๘๙ คุณพี่ปลื้ม วิจิตรภัตราภรณ์ เจ้าของห้างวิวิธภูษาคาร ได้ชวนข้าพเจ้าและแม่หมอบุญเรือนไปดูสวนส้มที่จังหวัดจันทบุรีโดยรถยนต์ สวนอยู่ห่างตัวจังหวัดสิบสองกิโลเมตร ตอนกลับจากสวนขณะที่รถกำลังติดไฟ แม่หมอบุญเรือนออกเดินไปก่อน ข้าพเจ้าออกเดินตามไปภายหลังห่างกันประมาณหนึ่งเส้น ข้าพเจ้าเดินมาถึงที่เลี้ยวก็มองไม่เห็นตัวแม่บุญเรือนแล้ว เร่งฝีเท้าเดินตามไปอีกสองสามเลี้ยวก็มองไม่เห็น ข้าพเจ้าก็เลยหยุดคอยรถเพราะรู้สึกเมื่อย สักครู่หนึ่งรถก็ตามมาทัน ข้าพเจ้าจึงกลับขึ้นรถ ประมาณเวลานับแต่ออกเดินจนรถมาทันนั้นราวสิบห้านาที เมื่อขึ้นรถแล่นมาอย่างเร็วเพราะเป็นทางลงจากเขา รถแล่นมาเป็นหลายเลี้ยวจนถึงศาลาพักร้อน ซึ่งอยู่กึ่งกลางทางระหว่างจังหวัดกับสวน ก็ไม่เห็นแม่บุญเรือนคอยอยู่
รถหยุดที่ศาลาเติมน้ำหน้าหม้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแล่นย่อไปจนพ้นเขตเขาทุ่งก็ยังไม่พบแม่บุญเรือน ผู้อยู่ในรถต่างรู้สึกเอะใจ เพราะตามปกติธรรมดาคนเราจะเดินเร็วเช่นนี้ไม่ได้ รถคงจะแล่นผ่านมาเสียแล้ว ขณะที่พวกเราคิดจะให้รถหยดรอ ก็พอดีเห็นแม่บุญเรือนเดินเนิบ ๆ อยู่ข้างหน้า เมื่อขึ้นมาบนรถ สังเกตดูไม่เห็นกิริยาแสดงว่าเหน็ดเหนื่อยหรืออิดโรย
การที่คุณแม่บุญเรือนเดินไกลถึงแปดกิโลเมตรในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแถมไม่เหน็ดเหนื่อยเสียด้วย คุณว่าเป็นเพราะอะไร ?
กิตติศัพท์เรื่องคุณแม่บุญเรือนมีฤทธิ์ย่นระยะทางเดินได้ พวกศิษย์รู้กันดี แต่สำหรับผู้ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองได้พยายามทดสอบอย่างเงียบ ๆ กันเสมอ คุณเลื่อนประสานอักษรพรรณ เป็นผู้หนึ่งที่กระทำดังกล่าว
วันหนึ่ง คุณแม่บุญเรือนไปแวะที่บ้านคุณเลื่อนตรงสี่แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันนั้นคุณแม่บุญเรือนตั้งปณิธานว่าจะเดิน ไม่ขึ้นรถ ตั้งแต่ออกจากบ้านที่พระโขนง ในตอนจะลาจากคุณเลื่อนไปยังสถานที่ต่อไป คือบ้านคุณเขียม วรรณยิ่ง ตรอกสารพัดช่าง บางขุนพรหม คุณแม่บุญเรือนก็เดินอีก.
คุณเลื่อนพอรู้ว่าคุณแม่บุญเรือนกำลังจะเดิน ก็รีบติดตามไปทันทีโดยไม่ให้รู้ตัว
“ครั้งแรกที่ตามออกมายังไม่เห็น” คุณเลื่อนเล่า “จึงได้แวะเข้าไปในบ้านจ่านายสิบสุข ซึ่งอยู่ใกล้ สามารถมองถนนได้ถนัด ถามจ่านายสิบสุขได้ความว่า แม่หมอบุญเรือนกำลังเดินไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมกับชี้บอก ดิฉันมองตามมือเขาชี้ แลเห็นแม่หมอบุญเรือนกำลังเดินข้ามถนนลานอนุสาวรีย์ฯ บ่ายหน้าไปทางเสนารักษ์ พญาไท ตอนที่จะเข้าสู่ถนนตรงไปทางเสนารักษ์ พญาไทนั่นเอง แม่หมอบุญเรือนเหลียวหน้ามาทางดิฉัน แล้วทำท่าเหมือนกับจะรีบวิ่งหนีรถ หายไปตรงนั้นเอง”
ตอนนี้คุณเลื่อนเข้าใจว่า ถนนทางนั้นมีทางเลี้ยวจึงไม่ได้ติดตามไปดูต่อ คงหยุดคุยกับจ่านายสิบสุขเสียครู่หนึ่งภายหลังได้เดินออกไปตรวจสถานที่ ปรากฏว่าตรงที่คุณแม่บุญเรือนหายวับไปกับตานั้น หาได้มีทางเลี้ยวแต่อย่างใดไม่ ผู้คนที่เดินอยู่จะไม่มีโอกาสลับสายตาจากผู้ที่จ้องดูไปได้เป็นอันขาด คุณเลื่อนได้สอบถามผู้ที่อยู่ด้วยกันว่าเห็นอย่างเดียวกับตนหรือไม่.ผู้ที่อยู่กับคุณเลื่อนตอบว่า เห็นหายไปทางต้นสน
“ความจริงหากมีใครเดินเลยต้นสนไป เราก็ยังจะสามารถมองเห็นเขาได้ต่อไปอีก แต่แม่หมอบุญเรือนหายวับไปเลย !”.
ขณะที่ฝ่ายติดตามดูพฤติการณ์มีสี่นัยน์ตาด้วยกันจ้องจับอยู่นั้น เห็นเวลากลางวันแสก ๆ ราวสักสิบสี่นาฬิกาเศษ ๆ แดดเปรี้ยงมิได้มีเมฆหมอกมืดแม้แต่น้อย
คุณเลื่อนได้สอบถามเวลาที่คุณแม่เรือนไปถึงที่หมายปลายทางจากคุณเขียนได้เวลาแน่นอนว่าคุณแม่บุญเรือนใช้เวลาเดินจากสี่แยกชัยสมรภูมิ ผ่านวงเวียนพญาไท สวนจิตรลดา ออกสี่เสา ไปถึงบางขุนพรหม ระยะทางนับสิบกิโลเมตรด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที่
เร็วยิ่งกว่ารถประจำทางวิ่งเสียอีก
ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สามารถเดินบนน้ำได้มาแล้ว
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมเคยไปแสคงอภินิหารเดินบนน้ำที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นที่อัศจรรย์
ไม่มีใครเห็นตอนที่ท่านกำลังเดินหรอกครับ แต่เหตุการณ์จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากท่านต้องเดินไปบนผิวน้ำ
เรื่องของเรื่องมีว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ คุณแม่บุญเรือนได้ขึ้นไปพักอยู่ที่บ้าน คุณนายลิ้นจี่ ฤษาภิรมณ์ วัดเจดีย์หลวง
หน้าบ้านคุณนายลิ้นจี่มีหนองน้ำ ห่างจากตลิ่งราวสองวา มีกอหญ้าแห้งลอยอยู่ คุณแม่บุญเรือนไปจับเต่ามาจากกอหญ้า และเอาเปลือกมะพร้าวไปว่างไว้แทนอย่างเรียบร้อย
“ดิฉันเอาไม้ลองพาดดูก็ไม่ถึงกอหญ้า” คุณนายลิ้นจี่บอก “น้ำก็ยังกระเพื่อมอยู่ ได้พิจารณาดูตามเท้าและร่างกายคุณบุญเรือน ไม่เห็นมีเปียกมีเปื้อนที่ตรงไหน น้ำตอนนั้นลึก ถ้าจะลุยไปอย่างน้อย จะต้องเปียกขึ้นมาถึงเอวเชียวค่ะ”
“สังเกตดูที่กอหญ้า เห็นเหมือนกับรอยเท้าสองข้างเหยียบกอหญ้านั้น กอหญ้าแห้งนี้สมมุติว่าคนจะไปยืนก็คงไม่ได้ เพราะหญ้าฟูลอยน้ำขึ้นมา ขนาดกอไม่ใหญ่พอจะทานน้ำหนักเด็กๆ ได้ เพียงแต่เอาก้อนอิฐขว้างไป หญ้าก็แยกกระจาย” คุณนายแดง ชัวย่งเสง คหบดีชาวเชียงใหม่ที่อยู่ในที่เดียวกัน อธิบายเพิ่มเติม
ถ้าจะคิดว่าอภินิหารเรื่องเดินบนน้ำยังเลือนลางไม่กระจ่างนัก ลองดูเรื่องฝนกับคุณแม่บุญเรือนกันหน่อยก็ยังได้
คุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ บ้านเลขที่ ๒๕๓ ถนนดำรงรักษ์ ป้อมปราบ ป่วยมานาน เพื่อนผู้หนึ่งแนะนำให้มาหาคุณแม่บุญเรือนช่วยรักษาจนหาย คุณนายบ๊วยรู้สึกเป็นพระคุณ จึงถือโอกาสพาคุณแม่บุญเรือนไปพักผ่อนทัศนาจรภาคใต้
คุณนายบ๊วยเล่าถึงคุณแม่บุญเรือนเอาไว้ตอนหนึ่งดังนี้
พวกเราเดินทางต่อไปชุมพรโดยรถไฟถึงสถานีชุมพรเวลาสองทุ่ม นางสาวปราณีและคุณสุดใจเพื่อนของบุตรสาวดิฉันได้มารับที่สถานี คุณปราณีบอกให้ดูเสื้อผ้ากล่าวว่า
“ดิฉันวิ่งมารับ ฝนตกถนนลื่นไปหมด จนหกล้มผ้าซิ่นเปื้อนไปแถบหนึ่ง”
พวกเราช่วยกันลำเลียงของลงจากรถไฟ คุณแม่บุญเรือนสะพายกระเป๋าใบหนึ่ง กับหิ้วกระเป๋าเสื่อบรรจุศิลากรวดกับหนังสือแดนมธุรสและใบตั้ง(เสก) น้ำอีกใบหนึ่ง ขบวนของเราออกเดินทางไปทางหลังสถานีโดยมีคุณสุดใจเป็นผู้นำทาง ดิฉันเดินตามหลังคุณแม่บุญเรือนไปติดๆ เพราะมืดมาก คุณสุดใจจะช่วยถือกระเป๋าเสื่อให้คุณแม่บุณเรือนแต่ท่านไม่ยอม บอกให้คุณสุดใจเดินนำไปที่รถ
ทางเดินตอนนั้นทั้งมืดทั้งแฉะ เลอะเทอะ คุณสุดใจเห็นว่าคุณแม่บุญเรือนมีอายุ ทั้งหิ้วของหนัก ส่งมือมาจะช่วยจูง คุณแม่ก็ปฏิเสธไม่ต้องจูงอีก พวกเราเดินไปถึงรถศูนย์ที่คุณปราณีคุณสุดใจจัดมาคอยรับ พอขึ้นนั่งรถเรียบร้อยแล้ว คุณแม่บุญเรือนถามว่า ใครเท้าเปื้อนบ้าง ทุกคนบอกว่าเปื้อนทั้งนั้น ของดิฉันไม่เปื้อนแต่ไม่บอกใคร
พอถึงบ้านใครๆ ก็เขาห้องน้ำล้างเท้ากัน แต่คุณแม่บุญเรือนกับดิฉันขึ้นบนบ้านเลยทีเดียว พอถึงบนเรือนมีแสงไฟเห็นชัด ดิฉันเห็นว่าดิฉันมีโคลนเปื้อนเล็กน้อย จึงกลับลงมาล้างเท้าใหม่ พบกับคุณลำไยซึ่งมีหน้าที่ในการปฏิบัติคุณแม่บุญเรือนในการเดินทางคราวนี้ กำลังจะยกรองเท้าคุณแม่บุญเรือนนำไปล้าง เขาร้องว่า รองเท้าคุณแม่ไม่เปื้อน ดิฉันตรวจดูรองเท้าที่คุณลำไยยกให้ดู ปรากฏว่าไม่เปื้อนจริงๆ เหมือนกับว่าท่านสวมเดินมาบนถนนแห้งๆ การที่ดิฉันไม่พลอยเปื้อนเหมือนกับคนอื่น เห็นจะเพราะเดินตามคุณแม่มาติดๆ เลยพลอยได้พึ่งบารมีไม่เปื้อนเปรอะเหมือนคนอื่น”.
คราวนี้ถึงเรื่องฝนตกไม่เปียก
คุณนวม ลิมพานิชการ เล่าด้วยความประหลาดใจว่า เพียงแต่ดิฉันนึกถึงคุณหมอบุญเรือนแล้วบูชาพระ ไม่ต้องออกปากเชิญ คุณหมอก็มาหาดิฉันเอง เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง ครั้งหนึ่งคุณหมอได้ไปหาในเวลาฝนตกมาก คุณหมอจะกลับทั้งๆ ที่ฝนยังตกหนักอยู่ ดิฉันค้านก็ไม่ฟัง จึงต้องออกไปส่งที่ประตู ฝนตกหนักมาก มองดูตัวคุณหมอก็ไม่เห็นเปียก ตอนนั้นดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ เพราะมองดูห่างไกล ไม่ค่อยจะเชื่อนัยน์ตาดิฉันแน่นัก
มาเมื่อแต่งงานหลานสาวดิฉันที่บ้านคุณควง อภัยวงศ์ เมื่อออกจากบ้านพี่สาว ดิฉันจะให้พ่อหนุ่มๆ ยกขันน้ำมนต์ไป คุณหมอบุญเรือนไม่ยอมให้ยก ท่านยกขันน้ำมนต์นั่งมาบนรถยนต์เอง ขันใหญ่มาก มีน้ำมนต์ค่อนขันขึ้นมาเกือบเต็ม คุณหมอยกตั้งแต่บ้านข้างวังกรมพระนครสวรรค์ (วังบางขุนพรหม) ไปจนถึงบ้านคุณควง อภัยวงศ์ ข้างสนามกีฬา น้ำไม่ได้กระฉอกหกเลยแม้แต่น้อย ท่านประคองขันชูมาตลอดเวลาไม่ได้วางบนตักเลย เมื่อไปถึงบ้านคุณควง รดน้ำบ่าวสาวแล้วกลับมาขึ้นรถยนต์จอดนอกบ้านไกลประมาณสองเส้น ฝนตกเม็ดใหญ่ ๆ คุณหมอบุญเรือนก็ออกไปตามรถเองโดยไม่มีร่มกาง กลับเข้ามาก็เดินมาอีก คราวนี้ดิฉันได้พิสูจน์ตามร่างกายคุณหมอ ไม่มีเปียกฝนเลย !”
เรื่องฝนตกไม่เปียกร่างกายคุณเเม่บุญเรือน โตงบุญเติมนี้ เป็นไปหลายครั้งหลายหน ในขณะที่คนอื่นเปียกฝนกัน คุณแม่บุญเรือนร่างกายค่อนข้างร้อนผะผ่าวเสื้อผ้าแห้งสนิททีเดียว
คราวแต่งงานรดน้ำบ่าวสาวที่บ้านคุณควง อดีตนายกผู้น่ารักท่านนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งท้าพนันเมื่อสังเกตดินฟ้าอากาศแล้วว่า “วันนั้นจะไม่ตก” คุณแม่บุญเรือนทำนายว่า“ เวลารดน้ำฝนจะตก”
ไม่จำเป็นต้องบอกก็คงได้ว่า คุณแม่บุญเรือนชนะ
พระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี-พระพุทโธใหญ่
ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของนาง ธำรุโกศา (แปลก ปานคำ) ผู้ไปช่วยจับสายสิญจน์ หล่อพระพุทธรูปพระพุทโธใหญ่ ที่วัดสัมพันธวงศ์
“พอถูกใช้ให้จับสายสิญจน์ ดิฉันใช้ไม้ก้านร่มพันม้วนเป็นแกนสายสิญจน์เลย คุณนายบุญเรือนพูดว่า ทีนี้โปร่งละ พอจับสายสิญจน์สักประเดี๋ยวก็มีฝนตกลงมามากพายุซัดฝนสาดมาเปียกดิฉัน คุณนายบุญเรือนออกมาเห็นเข้าก็บอกดิฉันให้กระเถิบหนีฝนเข้ามาข้างใน แต่ดิฉันไม่ยอมลุกหนีฝน คุณนายบุญเรือนจึงพูดว่า “ฝนอย่ามาเปียกแม่แปลกชี ! เขาจะจับสายสิญจน์ ไป ! ไป ! ไป !” พอว่าเท่านั้นลมพัดฝนไปทางอื่นไม่สาดดิฉัน และฝนก็เลยหายไป
ข้อความการบอกกล่าวของนางธำรุโกศาได้ที่พิมพ์ไว้ในประวัติพระพุทโธใหญ่ ซึ่งเมื่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดสารนารถธรรมาราม จังหวัดระยอง
ผมมีโอกาสไปชมความงามของพระพุทธรูปที่ถวายนามว่าพระพุทโธใหญ่มาแล้ว สวยงามมากครับ อยู่ในโบสถ์รูปร่างแปลก ที่มุมโบสถ์จำลองพุทธเจคีย์จากอินเดียมาก่อสร้างไว้ ภายในโบสถ์หลังใหญ่ปูด้วยหินอ่อน อากาศเย็นเฉียบทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศ
วัดสารนารถเป็นวัดที่กำลังพัฒนา มีเนื้อที่กว้างขวาง นอกจากโบสถ์ที่น่าชมยังมีศาลารูปร่างแปลก ความจริงก็ก่ออิฐถือปูน แต่ทำให้ดูเหมือนกับใช้ซุงมาผ่าซีกทำบันได ฝาก็ทำเหมือนกับใช้ซุงผ่าประดับเหมือนกัน ขนาดของศาลาใหญ่โตมโหฬารทีเดียว
คุณสุจริต ถาวรสุข ผู้เขียนประวัติของคุณแม่บุญเรือน เล่าถึงตนเองกับคุณแม่บุญเรือนว่า
“ข้าพเจ้าได้ไปกราบทำความเคารพท่าน ท่านได้ถามถึงความประสงค์ที่มาหา ข้าพเจ้าก็เลยเล่าถึงความอยากมีโชคดีในการสอบเป็นผู้พิพากษาบ้าง (ข้าพเจ้าได้ผิดหวังในการสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาในตอนราวกลางปีนั้น) คุณแม่บุญเรือนบอกว่า เมื่อตั้งใจจริง ใฝ่การกุศลก็ต้องสอบได้ และบอกว่าคราวต่อไปก็สอบได้แล้วละ คำพูดประโยคนั้นซาบซึ้งความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานให้หรืออวยพรให้ หรือท่านมีญาณทราบโดยทางใดหรือไม่อย่างไร เพราะปรากฏว่าในระยะต่อมาอีกไม่เกินหกเดือน นับแต่หลังสอบคราวก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็สอบเป็นผู้พิพากษาสำเร็จ ได้คะแนนอันดับดีเป็นที่สอง”
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม บำเพ็ญเพียรฝึกใจในพระพุทธศาสนา จนบรรลุจตุตถฌานและอภิญญาหก สำเร็จครั้งแรกตั้งแต่บวชเป็นแม่ชีที่วัดสัมพันธวงศ์
ท่านผู้พิพากษาสุจริต ถาวรสุข บันทึกไว้ว่า
ได้ผลเป็นอิทธิฤทธิ์อันเกิดจากการอธิษฐานเป็นครั้งแรก เมื่อราววันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๔๗๐ในวันนั้นคุณแม่บุญเรือนได้กลับไปอยู่ที่บ้านพัก สถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ คืนนั้นเข้านอนไม่หลับจนดึก สามีแลบุตรบุญธรรมหลับมีอาการกัดฟันและกรน รู้สึกเกิดธรรมสังเวชนึกเบื่อ จึงตั้งจิตอธิษฐานเข้าไปในศาลา รู้สึกว่าพอสิ้นคำอธิษฐาน ตัวคุณแม่บุญเรือนก็ไปปรากฏในศาลาดังคำอธิษฐาน ทั้งนี้โดยตัวท่านเองไม่ทราบว่าได้ออกจากห้องทางไหน และเข้าไปในศาลาทางไหน ในครั้งนั้นเพื่อนแม่ชีไม่สู้เชื่อนัก จนต่อมาอุบาสิกาฟักขอให้อธิษฐานใหม่ และให้นางเล็ก นางคำ นางเทียม ซึ่งดูเหมือนเป็นเพื่อนแม่ชีดูเป็นพยาน ได้ใส่กลอนประตูหน้าต่างศาลาเสียในคืนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลาดึกสงัดปีเดียวกันนั้นเอง คุณแม่บุญเรือนก็ได้อธิษฐานจากสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ เข้าไปในศาลาได้เช่นคราวก่อน พวกที่คอยดูก็แปลกใจไปตาม ๆ กัน จนต่อมาคุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานไปเขาวงพระจันทร์ พบพระผู้วิเศษ ขอพระธาตุท่าน ท่านก็ให้มาหนึ่งองค์ และได้กลับมาตามคำอธิษฐานพร้อมด้วยพระธาตุ การสามารถทำปาฏิหาริย์ดังกล่าวที่ปรากฏขึ้นได้เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้ท่านอธิษฐานเมื่อเข้าสมาธิผ่านที่ปิดล้อม หรือไปที่ใดไกล ๆ ได้ในชั่วระยะเวลาลัดมือเดียวในเวลาต่อมา ขณะได้ฌานวิเศษนั้นท่านอายุประมาณ สามสิบสามปี
ขอขอบคุณทุกแหล่งที่มา
Amuletstores.com
หน้าที่เข้าชม | 761,504 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 601,258 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 ก.ค. 2556 |